หนังดีที่คุณควรดู ใครไม่ได้ดูถือว่าพลาด!!!!

หนังดี หนังที่มีคุณภาพสูง ที่คุณควรดู ใครไม่ได้ดูถือว่าพลาด!!!!

Us and them ( 2018 )
“ ความฝันของฉันหรือฝันของเรา ”
หนังดี ในปี 1996 โลกได้ซาบซึ้งไปกับ เถียนมีมี่ ของ Peter Chan ในยุคนี้ผู้คนรู้จัก Us and Them ที่มาแนวทางเดียวกันเป๊ะแต่ปรับให้เข้ายุคเข้าสมัย และเพิ่มความดราม่าเข้าไปอีกระดับหนึ่งเพื่อทำให้เราเสียฟอร์มในการรับชมเพราะเผลอตัวเสียน้ำตาออกมา แต่ที่น่าเสียดาย คือ หนังได้ลดทอนสัญญะทางการเมืองไปเยอะเมื่อเทียบกับเทียนมีมี่ที่มีความเป็นฮ่องกงมากกว่า ทิ่มแทงความรู้สึกเราได้เยอะกว่า

มีการอิงเรื่องราวของยุคสมัยเหมือน ๆ กัน เล่นเรื่องความสัมพันธ์ในแนวทางใกล้เคียงกัน เต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวมากมายในอดีตให้ชวนนึกถึงทั้งสุข เศร้า เหงา รัก ถ้าใครต้องการดูหนังรักที่มีความครบเครื่องเรื่องอารมณ์ Us and Them คือหนังที่ห้ามพลาด ( อย่าลืมดูช่วงเครดิตด้วยล่ะ )

Split ( 2016 )
“ วิวัฒนาการของคนที่หัวใจเเตกสลาย ”
สิ่งที่เราชอบที่สุดในหนังของ M. Night time Shyamalan คือ บทของเขาจะไม่เหมือนหนังของใคร ต่อให้เป็นหนังที่แย่ในบางทีมันก็ยังคงเป็นหนังที่มีความออริจินัลอยู่ดี เช่นเดียวกับเรื่องนี้ เราเชื่อว่า Split น่าจะเป็นหนังที่ผู้ชมจะพูดถึงและให้การยอมรับมากกว่านี้ ถ้าผู้คนไม่เคยเห็นงานเก่า ๆ ของเขามาก่อน เช่น Unbreakable , Indicators หรือแม้แต่ใน The Village , The Vist หนัง Hybrid ที่ไม่ค่อยมีใครกล้าทำเท่าไร เพราะยากต่อการทำการตลาด

Gone Female ( 2014 )
“ สื่อบังคับให้เราเป็นอีกคนที่เราไม่รู้จัก ”
เรื่องราวความสัมพันธ์ปวย ๆ ของครอบครัวสมัยใหม่ ที่แต่ละคนมีความคิดเป็นของตนเองที่เเข็งเเรงพอที่จะไม่สนใจความคิดอื่น ๆ สิ่งที่เราชอบที่สุดคือวิธีที่แต่ละฝ่ายพยายามจะเอาชนะกัน ที่ไม่ใช่การตบตีหนักหน่วงแต่มันคือการพยายามเอาชนะด้วยการทำให้อีกฝ่ายเป็นบ้า ทนไม่ได้ แล้วยอมแพ้ไปเอง ซึ่งดูเหมือนไม่มีใครลดละความพยายามเลยและมันก็เลยเถิดจนยากจะควบคุม จังหวะของหนังทำให้เราลุ้นมาก ๆ ในแต่ละฉาก ส่วนงานดนตรีประกอบของ Trent Reznor และ Atticus Ross ก็ดูทันสมัย เข้ากับเรื่องนี้เป็นที่สุด

Rango ( 2011 )
“ อยู่เป็น? ”
สิ่งที่เราชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้คือหนังสามารถดึงเสน่ห์ออกมาจากตัวละครอัปลักษณ์ได้อย่างน่าสนใจสุด ๆ มันทำให้เรามองเห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องหลงรักตัวละครที่ดูเท่ หรือน่ารักเสมอไปตราบใดที่หนังยืนยันที่จะดึงเสน่ห์ออกมาจากตัวละครนั้นให้ได้ ซึ่ง Rango ก็ทำออกมาได้อย่างมีชั้นเชิง ดูสนุก มีอารมณ์ขันเฉพาะตัว เป็นหนังแนว “ค้นหาตัวตน” ที่ไม่ควรพลาดเรื่องหนึ่ง

Raw ( 2016 )
“ ดิบ เดือด เลือดพล่าน ”

เมื่อคิดถึงหนังเรื่องนี้ทีไรเราจะรู้สึกสยองขึ้นมาทันที ภาพบางภาพมันยังคงติดตาเราอยู่ ด้วยงานภาพที่จัดจ้านมีสไตล์ ด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของตัวละครที่ไม่หยุดนิ่งเหมือนรอเวลาที่จะปะทุตัวของอะไรบางอย่างที่เลวร้ายออกมา ด้วยบรรยากาศที่ลึกลับอึดอัดชวนสงสัยที่ทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา เราชอบที่หนังไม่ยอมเผยว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรจนเราค่อย ๆ เข้าใจขึ้นเรื่อย ๆ เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่มาก ๆ ในการดูหนังสยองขวัญแนวนี้


A click here Get rid of for Wellness ( 2016 )
“ วัคซีนคือเชื้อโรคแบบหนี่ง ”
ผลงานที่ Gore Verbinski กำกับมักจะเป็นงานที่ดูเสี่ยงอยู่เสมอ ว่ามันจะขายได้หรือขายไม่ได้ คนดูจะเข้าใจหรือมึนงง มันจึงเป็นเหตุผลที่พอเข้าใจได้ ว่าทำไมนักวิจารณ์ถึงเสียงแตกออกเป็นสองขั้ว ไม่ชอบก็เกลียดหนังของเขาไปเลย เรื่องนี้ก็เช่นกัน แต่เราอยู่ในฝั่งที่ชอบหนังเรื่องนี้มากกว่า เพราะยิ่งขุดหนังเรื่องนี้ให้ลึกลงไปในความคิดเท่าไหร่ก็ยิ่งพบอะไรมากขึ้นเรื่อย ๆ

หนังมีองค์ประกอบที่ซับซ้อนที่ยากจะเห็นรายละเอียดทั้งหมดเพียงครั้งเดียว มันเป็นความรู้สึกเหมือนการได้ดู Blade runner ในปี 1982 หรืองานของ Stanley Kubrick หลาย ๆ เรื่องที่ผู้คนไม่ค่อยเข้าใจนักในช่วงแรกซึ่งต่อมาผู้คนจึงเริ่มเห็นบางสิ่งที่สำคัญของหนังและนำมาวิเคราะห์ แตกรายละเอียดเป็นชั้น ๆ เชื่อว่าผู้คนจะกลับมาพูดถึงหนังเรื่องนี้อีกครั้งในอนาคต


Shoplifters ( 2018 )
“ ของใคร…ใครก็รัก ”
หนังดี เรื่องนี่ได้มอบความรู้สึกหลากหลายอารมณ์มากให้แก่เรา มันทำให้เราซาบซึ้ง เศร้า อบอุ่น เย็นชาจนไปถึงด้านชา หนังมันทำให้เราคาดหวังว่ามันจะจบอีกแบบ แบบที่ทุกคนมีความสุข แต่มันก็พรากความรู้สึกเหล่านั้นไปเพราะหนังเลือกที่ยึดโยงกับโลกแห่งความจริงมากกว่าจนเราต้องน้อมรับกับมันในท้ายที่สุด


The Lobster ( 2015 )
“ จังหวะหัวเราะที่เปลี่ยนไป ”
หนังของ Yorgos เหมือนรถไฟในสวนสนุกที่เราจะนั่งปล่อยสมองให้โล่ง แล้วพร้อมจะล่องลอยไปในโลกที่เขาต้องการนำเสนอ ในเรื่องนี้เขาพาเราไปรู้จักความรักในโลกที่ไร้ความรู้สึก สุดแสนมืดมน ทุกคนมีตรรกะเป็นของตัวเองและเราก็สนุกไปกับการพยายามเขาใจวิธีคิดของคนเหล่านั้น ซึ่งมันก็แปลกซะเหลือเกินจนเราต้องขำออกมาหลาย ๆ ฉาก แต่พอบทจะใช้ความรุนแรงขึ้นมาก็โหดจนสะเทือนอารมณ์ เป็นหนังรักแปลก ๆ ที่ไม่เหมือนกับเรื่องไหนแน่ ๆ

Blade Runner 2049 ( 2017 )
“ มนุษย์จำเป็นต้องมีความทรงจำไหม ”

นี่อาจจะเป็นต้นแบบของหนัง Sci-fi ยุคใหม่ที่เราอาจจะได้เห็นบ่อยขึ้นในอนาคตที่ไม่กลัวจะพูดถึงประเด็นยาก ๆ แนวปรัชญา ๆ คล้าย ๆ กับที่เกิดขึ้นใน Ad Astra หรือในหนังแบบ Solaris ( 1972 ) หนังอีกเรื่องที่เราชื่นชอบที่พูดถึงปมเล็ก ๆ ในใจภายใต้ฉากหลังที่ยิ่งใหญ่ ฮอลลีวูดจัด ๆ เหมือนที่ Blade Runner ชัดเจนมาก ๆ ตั้งแต่ภาคก่อน แต่ในเวอร์ชันนี้หนังได้มีการตั้งคำถามลึกเข้าไปอีกในเรื่องของตัวตน เราจำเป็นต้องมีความรู้สึกไหม? เราจำเป็นต้องมีความทรงจำไหม? ทุกอย่างใส่เข้ามาอย่างถูกจังหวะผสมกับฉากแอคชั่นที่ใส่เข้ามาอย่างลงตัว ดูงดงาม ดูแพง ไม่เยอะเกินไป ดูเป็นงานที่ประณีตเป็นที่สุด เหมาะกับการไปดูที่โรงหนังจริง ๆ เพื่อให้เห็นรายละเอียดยิบย่อยต่าง ๆ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *